เมนู

ไม่กำหนัดยินดี ไม่มีความหวั่นไหว เป็นผู้
เสมอในอารมณ์ทั้งปวง.
ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งอะไร ๆ ย่อม
ไม่มีแก่ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้รู้แจ้ง ผู้นั้นเว้นแล้ว
จากการปรารภมีปัญญาภิสังขารเป็นต้น ย่อม
เห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถาน.
มุนีย่อมไม่กล่าวยกย่องตนในบุคคล
ผู้เสมอกัน ผู้ต่ำกว่า ผู้สูงกว่า มุนีนั้นเป็น
ผู้สงบปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ
ไม่สละธรรมอะไร ๆ ในบรรดาธรรมมีรูป
เป็นต้น,

จบอัตตทัณฑสูตรที่ 15

อรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ 15


อัตตทัณฑสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ ดังนี้
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบการทะเลาะกันเพราะเรื่องน้ำของเจ้า
ศากยะและเจ้าโกลิยะ ดังได้พรรณนาไว้แล้วในเรื่องการเกิดขึ้นแห่งสัมมา-
ปริพพาชนิยสูตร ทรงดำริว่าพวกพระญาติทะเลาะกัน เอาเถิด เราจักห้าม
พระญาติเหล่านั้นดังนี้ เสด็จประทับยืน ณ ท่ามกลางเหล่าเสนาทั้งสองฝ่าย
แล้วจึงตรัสพระสูตรนี้.

ในสูตรนั้นพึงทราบความในคาถาต้นดังนี้. ภัยอันใดเกิดขึ้นในปัจจุบัน
และสัมปรายภพ ภัยนั้นทั้งหมดเกิดแต่อาชญาของตน เกิดแต่เหตุทุจริตของตน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงเห็นชนผู้ทะเลาะกัน จงเห็นชนมีเจ้าศากยะเป็น
ต้นนี้ทะเลาะกัน ทำร้ายกัน เบียดเบียนกันและกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงตำหนิชนผู้พิโรธตอบโต้กัน ผู้ปฏิบัติผิด
นั้นอย่างนี้แล้วเพื่อให้เกิดสังเวชแก่ชนนั้น ด้วยการแสดงสัมมาปฏิบัติของ
พระองค์จึงตรัสว่า สํเวคํ กิตฺตยิสฺสามิ ยถา สํวิชิตํ มยา เราจักแสดง
ความสลดใจ ตามที่เราได้สลดใจมาแล้ว อธิบายว่า เคยเป็นพระโพธิสัตว์
มาแล้วนั่นเอง.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงประการตามที่พระองค์
สลดพระทัยมาแล้ว จงตรัสคำมีอาทิว่า ผนฺทมานํ หมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ผนฺทมานํ ได้แก่ หมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่ด้วย
ตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า อปฺโปทเก คือในแอ่งน้ำน้อย. บทว่า อญฺญมญฺเญหิ
พฺยารุทฺเธ ทิสฺวา
คือ เพราะเห็นคนทั้งหลายผู้พิโรธกันและกันเหมือนสัตว์
ต่าง ๆ. บทว่า มํ ภยมาวิสิ คือ ภัตได้เข้ามาถึงเราแล้ว. บทว่า สมนฺตมสาโร
โลโก
โลกโดยรอมหาแก่นสารมิได้ คือ โลกโดยรอบตั้งแต่นรกเป็นต้นหา
แก่นสารมิได้ คือ เว้นจากแก่นสารมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้น. บทว่า ทิสา
สพฺพา สเมริตา
คือ ทิศทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว เพราะความเป็นของไม่เที่ยง.
บทว่า อิจฺฉํ ภวนมตฺตโน คือ เราปรารถนาความต้านทานแก่ตนอยู่. บทว่า
นาทฺทสาสึ อโนสิตํ คือ ไม่ได้เห็นสถานที่อะไร ๆ อันทุกข์มีชราเป็นต้น

ไม่ครอบงำแล้ว บทว่า โอสาเนเตฺวว พฺยารุทฺเธ ทิสฺวา เม อรตึ อหุ
เราไม่ได้มีความยินดี เพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบ
แล้วในที่สุด คือ เรามิได้มีความยินดี เพราะเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้อันทุกข์มีชรา
เป็นต้นกระทบแล้ว ถึงความพินาศไปในที่สุด แห่งความเป็นหนุ่มสาวเป็นต้น
นั้นเอง. บทว่า อเถตฺถ สลฺลํ คือ เราได้เป็นกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้น
ในสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้. บทว่า หทยนิสฺสิตํ อันอาศัยหทัย คือ อันอาศัยจิต.
หากมีคำถามว่า กิเลสดุจลูกศรมีอานุภาพอย่างไร พึงทราบคาถาว่า เยน
สลฺเลน โอติณฺโณ
สัตว์ถูกกิเลสดุจลูกศรเสียบติดแล้ว.
บทว่า ทิสา สพฺพา วิธาวติ สัตว์ย่อมแล่นไปยังทิศทั้งปวง คือ
สัตว์ย่อมแล่นไปยังทิศคือความทุจริตทั้งปวงบ้าง ยังทิศบูรพาเป็นต้นบ้าง.
บทว่า ตเมว สลฺลํ อพฺพุยฺห น ธาวติ น สีทติ คือ บัณฑิตถอนกิเลส
ดุจลูกศรนั้นแลออกเสียได้ ย่อมไม่แล่นไปยังทิศและไม่จมลงในโอฆะ 4. เมื่อ
มนุษย์ทั้งหลายถูกกิเลสดุจลูกศรอันมีอานุภาพมากเสียบอย่างนี้แล้ว พึงทราบ
คาถาว่า ตตฺถ สิกฺขานุคียนฺติ ยานิ โลเก คธิตานิ หมู่มนุษย์ย่อมพากัน
เล่าเรียนศิลปะ เพื่อให้ได้อารมณ์ที่น่ายินดีในโลก.
บทนั้นมีความดังนี้ กามคุณ 5 ใดในโลก ท่านเรียกว่า คธิตานิ
ยินดี เพราะอรรถว่า ย่อมปรารถนาเพื่อจะได้คืน หรือเพราะเสพตลอดกาลนาน
หรือเพราะกล่าวเล่าเรียนศิลปะหลายแขนงมีศิลปะการฝึกช้างเป็นต้นอันเป็น
เครื่องหมายในกามคุณเหล่านั้น ท่านทั้งหลายจะเถิด โลกนี้มัวเมากันเพียงไร
กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต ไม่พึงขวนขวายในอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น หรือใน
ศิลปะเหล่านั้น พึงเบื่อหน่ายกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวง ด้วยการเห็น
ลักษณะมีลักษณะไม่เทียงเป็นต้นโดยถ่องแท้ พึงศึกษานิพพานเพื่อตนเถิด.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงสิ่งที่ควรศึกษา จึงตรัส
คำมีอาทิว่า สจฺโจ สิยา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สจฺโจ พึงเป็นผู้มีสัจจะ คือ พึงเป็นผู้ประกอบ
ด้วยวาจาสัจจะ ญาณสัจจะ มรรคสัจจะ. บทว่า ริตฺตเปสุโณ คือ ละคำ
ส่อเสียด. บทว่า เววิจฺฉํ คือความตระหนี่. บทว่า นิทฺทํ ตนฺทึ สเห ถีนํ
พึงครอบงำความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้ ได้แก่ พึงครอบงำ
ธรรม 3 อย่างเหล่านี้ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน ความเกียจคร้านทางกาย
และความเกียจคร้านทางจิต. บทว่า นิพฺพานมนโส คือ มีจิตน้อมไปใน
นิพพาน. บทว่า สาหสา ความผลุนผลัน คือ เพราะเหตุแห่งความผลุนผลัน
อันมีประเภทแห่งความประพฤติกำหนัดเป็นต้นของตนกำหนัด. บทว่า นาภิ-
นนฺเทยฺย
ไม่พึงยินดีสิ่งที่ล่วงหาแล้ว คือ รูปที่ล่วงมาแล้วเป็นต้น. บทว่า นเว
คือในปัจจุบัน. บทว่า หิยฺยมาเน คือ อารมณ์ที่หายไป. บทว่า อากาสํ
น สิโต สิยา
คือ ไม่พึงเป็นผู้อาศัยอากาศ. จริงอยู่ ตัณหา ท่านเรียกว่าอากาศ
เพราะเป็นช่องแห่งรูปเป็นต้น หากมีคำถามว่า เพราะอะไร จึงไม่พึงเป็นผู้อาศัย
ตัณหา. พึงทราบคาถาต่อไปว่า อหํ หิ อิมํ เคธํ พฺรูมิ เพราะเรากล่าว
ตัณหานี้ว่าเป็นความกำหนัดยินดี.
บทนั้นมีความดังนี้ เพราะเรากล่าวตัณหาที่เรียกว่าอากาศนี้ว่าเป็นความ
กำหนัดยินดี เพราะเป็นช่องทางแห่งรูปเป็นต้น. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น มีดังนี้
เรากล่าวตัณหาว่าเป็นโอฆะ เพราะการทำลายลง กล่าวตัณหาว่าอาชวะ เพราะ
แล่นไปเร็ว กล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องกระซิบ เพราะเหตุให้กระซิบว่า นี้ของเรา
นี้ของเรา กล่าวตัณหาว่าเป็นอารมณ์ เพราะปล่อยได้ยาก กล่าวตัณหาว่า

ทำใจให้กำเริบ เพราะเหตุทำให้หวั่นไหว อนึ่ง ตัณหานี้เป็นเปือกตมคือกาม
ชื่อว่า ยากที่สัตว์จะล่วงไปได้ เพราะเป็นความห่วงใยของโลก และเพราะสัตว์
ก้าวพ้นไปได้ยาก. หากมีคำถามว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ไม่พึง
เป็นผู้อาศัยอากาศดังนี้ อากาศคืออะไร. ตอบว่า เคธํ พฺรูมิ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เรากล่าวอากาศว่าเป็นความกำหนัดยินดี ด้วยเหตุนั้นพึงทราบการเชื่อม
คาถานั้นด้วยประการฉะนี้. ในบทนั้นพึงทราบการแก้บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เรากล่าวอากาศว่าเป็นความกำหนัดยินดี เหมือนอย่างเรากล่าวว่า
ตัณหาเป็นห้วงน้ำใหญ่ ตัณหาเป็นความแล่นไปเร็ว ตัณหาเป็นเครื่องกระซิบใจ
ตัณหาเป็นอารมณ์ ตัณหาเป็นความกำเริบ ตัณหาเป็นเปือกตมคือกามในโลก
พร้อมทั้งเทวโลกอันสัตว์ข้ามได้ยาก. ไม่พึงเป็นผู้อาศัยอากาศอันเป็นปริยายว่า
ความกำหนัดยินดีเป็นต้นอย่างนี้. พึงทราบคาถาว่า สจฺจา อโวกฺกมฺม มุนี
ไม่ปลีกออกจากสัจจะแล้ว.
บทนั้นมีความดังนี้ พราหมณ์ไม่ปลีกออกจากสัจจะ 3 อย่างดังกล่าว
มาก่อนแล้ว เรียกชื่อว่าเป็นมุนี เพราะปฏิบัติปฏิปทาเพื่อความเป็นมุนี ตั้งอยู่
บนบกคือนิพพาน พราหมณ์นั้นแลสละคืนอายตนะทั้งหมดแล้ว เรากล่าวว่า
เป็นผู้สงบ. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น มีคาถาว่า สเว วิทวา มุนีนั้นแล เป็นผู้รู้
ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ญตฺวา ธมฺมํ คือรู้ธรรมอันปรุงแต่งโดยนัย
มีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า สมฺมา โส โลเก อริยาโน มุนี
นั้นเป็นอยู่ในโลกโดยชอบ คือ เพราะละกิเลสอันทำให้เป็นอยู่โดยมิชอบเสียได้.
ก็เมื่อไม่ทะเยอทะยานอย่างนี้ พึงทราบคาถาต่อไปว่า โยธ กาเม ผู้ใดข้าม
กามทั้งหลายในโลกนี้ได้ ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคํ ธรรมเป็นเครื่องข้อง คือผู้ใดข้าธรรม
เป็นเครื่องข้อง 7 อย่างได้. บทว่า นาชฺเฌติ คือย่อมไม่เพ่งเล็ง. เพราะฉะนั้น
ในบรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจะเป็นอย่างนี้ เรากล่าวถึงผู้นั้น. พึง
ทราบคาถาต่อไปว่า ยํ ปุพฺเพ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ คือกิเลสชาติและกรรมในอดีตปรารภ
สังขารในอดีตเกิดขึ้นเป็นธรรมดา. บทว่า ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ
กิเลสชาติเครื่องกังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน คือ กิเลสชาติเครื่องกังวลมี
ราคะเป็นต้นปรารภสังขารแม้ในอนาคตอย่าได้มีแก่ท่าน. บทว่า มชฺเฌ เจ
โน คเหสฺสสิ
หากท่านจักไม่ถือเอาในปัจจุบัน คือ หากท่านจักไม่ถือธรรม
มีรูปในปัจจุบันเป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการบรรลุพระอรหัตด้วยบทว่า
อุปสนฺโต จริสฺสสิ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยวไปอย่างนี้แล้ว บัดนี้ได้ตรัสคาถา
ทั้งหลายต่อจากนี้ ด้วยการสรรเสริญพระอรหัต.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความแห่งคาถาว่า สพฺพโส โดยประการ
ทั้งปวงเป็นต้น. บทว่า มมายิตํ ยึดถือในนามรูปว่าเป็นของเรา คือ ทำความ
ยึดถือว่าเป็นของเรา หรือยึดถือวัตถุว่า สิ่งนี้ของเรา ดังนี้. บทว่า อสตา จ น
โสจติ
คือ ไม่เศร้าโศกเพราะเหตุแห่งนามรูปอันไม่มี เพราะเหตุแห่งความ
ไม่ยินดี. บทว่า น ชยฺยติ ไม่เสื่อมคือไม่ถึงความชรา. มีอะไรยิ่งไปกว่านี้อีก
มีคาถาว่า ยสฺส นตฺถิ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กิญฺจนํ เครื่องกังวลคือธรรมชาติมีรูปเป็นต้น
ไร ๆ. มีอะไรยิ่งไปอีก มีคำถามว่า อนุฏฺฐุรี ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุฏฺฐุรี แปลว่า ไม่มีความขวนขวาย.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อนุทฺธรี ก็มี. บทว่า สพฺพธิ สโม คือเป็นผู้เสมอ
ในอารมณ์ทั้งปวง. อธิบายว่า เป็นผู้วางเฉย. บทนี้ท่านอธิบายว่า บุคคลใด
ไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี เราเป็นผู้ถูกถามถึงบุคคลนั้นผู้ไม่หวั่นไหวจะบอก
อานิสงส์ 4 อย่างในบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่มีความขวนขวาย ไม่กำหนัดยินดี
ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอารมณ์ทั้งปวง. มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ มีคาถาว่า
อเนชสฺส ผู้ไม่หวั่นไหว ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า นิสงฺขติ ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งคือสังขาร
อย่างใดอย่างหนึ่งในปุญญาภิสังขารเป็นต้น เพราะสังขารนั้นถูกปรุงแต่ง หรือ
ย่อมปรุงแต่ง ฉะนั้นท่านจึงเรียก นิสงฺขติ. บทว่า วิยารมฺภา จากการ
ปรารภคือจากการปรารภ 3 อย่างมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น. บทว่า เขมํ ปสฺสติ
สพฺพธิ
ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถานคือเห็นความไม่มีภัยในที่ทั้งปวง
นั้นเอง เมื่อเห็นอย่างนี้ พึงทราบคาถาต่อไปว่า น สเมสุ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า น วทเต ย่อมไม่กล่าวยกย่องตนคือไม่กล่าว
ยกย่องตนแม้ในบุคคลผู้เสมอกัน ด้วยถือตัวว่าเราเป็นเช่นเดียวกันเป็นต้น
แม้ในบุคคลผู้ต่ำกว่า แม้ในบุคคลผู้สูงกว่า. บทว่า นาเทติ น นิรสฺสติ
ไม่ยึดถือ ไม่สละ คือ ไม่ยึดถือไม่สละธรรมไร ๆ ในบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้น.
บทที่เหลือชัดแล้วทั้งหมด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาด้วยธรรม
เป็นยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อจบเทศนา ศากยกุมารและโกลิยกุมาร 500 ได้ผนวชด้วยเอหิภิกขุ
บรรพชา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพาภิกษุเหล่านั้นเสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน.
จบอรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ 15 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

สารีปุตตสูตรที่ 16


ว่าด้วยความไม่สะดุ้งกลัว


ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า
[423] พระศาสดา ผู้มีพระวาจา
ไพเราะอย่างนี้ เสด็จมาแต่ชั้นดุสิต สู่ความ
เป็นคณาจารย์ ข้าพระองค์ยังไม่ได้เห็นหรือ
ไม่ได้ยินต่อใคร ๆ ในกาลก่อนแต่นี้เลย.
พระองค์ผู้มีพระจักษุย่อมปรากฏแก่
มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนปรากฏแก่โลกพร้อม
ด้วยเทวโลก ฉะนั้น พระองค์ผู้เดียวบรรเทา
ความมืดได้ทั้งหมด ทรงถึงความยินดีใน
เนกขัมมะ.
ศิษย์ทั้งหลายมีกษัตริย์เป็นต้นเป็นอัน
มาก มาเฝ้าพระองค์ผู้เป็นพุทธะ ผู้อันตัณหา
และทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ ไม่หลอกลวง
เสด็จมาเเล้วสู่ความเป็นคณาจารย์ ณ เมือง
สังกัสสะนี้ ด้วยปัญหามีอยู่.
เมื่อภิกษุเกลียดชังแต่ทุกข์ มีชาติเป็น
ต้นอยู่ เสพที่นั่งอันสงัด คือ โคนไม้ ป่าช้า
หรือที่นั่งอันสงัดในถ้ำแห่งภูเขา ในที่นอน